Wednesday, December 26, 2012

ซีอาน 36 จาก 3 องศาบินตรงกลับมาที่ 30 องศา

กลับสู่ที่พักเก็บกระเป๋าครั้งสุดท้ายพร้อมออกเดินทางกลับสู่สนามบินดอนเมือง และก็เช่นเดียวกับขามา เราจะไม่มีการโหลดกระเป๋าดังนั้นเรามีสิทธิ์หิ้วกระเป๋าขึ้นเครื่องได้คนละ 1 ใบๆละไม่เกิน 7 กิโลกรัม ใครมีของเยอะก็เอาไปฝากคนมีของน้อย พวกของฝากชิ้นเล็กๆเช่นกระจก พวงกุญแจก็เอามายัดไว้ตามกระเป๋าเสื้อกระเป๋ากางเกง (เหมือนพวก smuggling)  นี่ถ้าเค้าชั่งน้ำหนักตัวเวลาที่ไม่มีของเหล่านี้อยู่เค้าอาจไม่ยอมก็ได้ แล้วกระเป๋าของทีม A ก็ออกมาตามรูป


ซึ่งเมื่อไปถึงสนามบินแล้วมันเหลือแค่ 3 ใบด้านซ้ายมือเท่านั้นเพราะเราเอากล่องผลไม้ซื้อฝากพ่อบ้านไปใส่ในกระเป๋า Fur ของบางส่วนในถุงสีส้มยัดไว้ในตัวแบ่งๆกันไป

ออกจากโรงแรมเวลา 12:20 โดยรถ shuttle bus มุ่งหน้าสู่สนามบินซีอาน 13:15 รอ check in เมื่อเรามั่นใจแล้วว่ากระเป๋าทุกใบหนักน้อยกว่า 7 กิโล ก็ด้นมีเรื่องให้เราหนักใจอีกเมื่อปรากฏว่าใบ ต.ม. ของทุกคนอยู่หมดยกเว้นของต้น ซึ่งเป็นต้นที่พูดไว้ตอนหนึ่งว่า "ถ้าแม่อยากให้มันหายก็ไม่ต้องเอาออกเก็บไว้" ในที่สุดก็ไปเอาใบใหม่มาเขียนแล้วพวกเราก็ผ่าน ต.ม. เรียบร้อย แต่เมื่อถึงเวลาตรวจเอ็กซเรย์ปรากฎว่ากระเป๋าเราไม่ผ่านเพราะเค้ามองเห็นวัสดุคล้ายมีด เค้าเลยขอค้นดู เราถามเค้าว่าเค้าเห็นอะไรแล้วบอกลักษณะเค้าไป พอหยิบออกมาดูเราบอกไปว่าเป็นที่ขั้นหนังสือเราซื้อมาจากร้านขายของที่ระลึกขอเราเอากลับไปเถิดเพราะเราชอบมันมาก อาจจะเป็นเพราะเค้าเห็นว่าเราเป็นเพียงผู้สูงวัยเค้าเลยอนุญาติให้เราเอาขึ้นเครื่องได้ โชคดีไปไม่งั้นเราคงไม่มีโอกาสได้ใช้ที่ขั้นหนังสืออันนี้ ผ่านทุกอย่างเข้าไปรอที่ Gate 17 เวลา 14:42 นาทีนั่งประจำที่เรียบร้อย พร้อม take off มุ่งสู่ฤดูร้อนเมืองไทยทั้งๆที่เป็นเดือนพฤศจิกายน

บ๊ายบาย ซีอาน ลั่วหยาง เจิ้นโจ ไคฟง พวกเราสนุกกันมากได้ประสบการณ์ที่คงหาไม่ได้จากบริษัททัวร์

ถึงสนามบินดอนเมืองอย่างสวัสดิภาพ ถึงบ้านเวลา 17:35 น. ทานอาหารเย็นอันอุดมสมบูรณ์เมนูเดิมๆ และองศาเดิมๆของประเทศไทย Home Sweet Home.



ขอบคุณภาพจาก internet;  โรงแรม รถ shuttle bus airport airasia and home sweet home

ซีอาน 35 เช้าสุดท้ายในซีอาน

เช้าวันที่ 25/11/2012 เช้าสุดท้ายของการอยู่ซีอาน

ตื่นแต่เช้า เวลาก่อน 6:00  กะว่าจะไปเดินตลากมุสลิมอีกครั้งหนึ่งส่งท้าย ก่อนออกจากห้องเช็ค weather forecast อ้าวมันบอกว่าฝนตก เปิดม่านดู แม่นจริงๆ ทีแรกกะไว้ว่าจะไปเดินตลาดและดูให้รอบๆอีกครั้งก่อนบ๋ายบายซีอาน แล้วจะไปยังไงเนี่ย ถ่ายรูปฆ่าเวลาดีกว่า





เวลา 7:58 ยังไม่ได้ออกจากโรงแรมแต่ฝนเริ่มหยุดตกแล้ว ในที่สุดออกจากโรงแรมเวลา 9:37 กำลังมุ่งหน้าไปตลาด




เดินชมเมืองหลังฝนตก (3 องศา C)


มัสยิดในบริเวณตลาดมุสลิม






ปาท่องโก๋รสชาดดีแป้งเหนียวนุ่ม


ร้านเครื่องเทศ


กาละมังนี้จำไม่ได้แล้วว่าเป็นอะไร



ซื้อของที่ระลึกเพื่อเติม มีพวงกุญแจ ที่เปิดขวด ที่ขั้นหนังสือ รวมทั้งสมุดจดซึ่งมีหน้าปกเป็นเหมือนคัมภีร์ยุทธ ในที่สุดเราก็มีคัมภีร์ยุทธไปฝากพ่อบ้าน เป็นคัมภีร์ชนิดที่ต้องใช้ความสามารถพิเศษในการดูถึงจะเห็นเคล็ดวิชาที่บันทึกไว้ เสร็จเรียบร้อยกลับโรงแรมเพื่อ pack กระเป๋าขั้นสุดท้าย











Saturday, December 22, 2012

ซีอาน 34 - กลับ Citadines คืนสุดท้ายของการมาเยือนซีอาน

เสร็จจากเส้นทางสู่สายไหมขึ้นรถกลับไปที่ Bell Tower ต้น มาม้า และ Fur แยกไปสำรวจเกี่ยวกับเรื่องการแสดงโชว์ราชวงศ์ถัง ทีม A เลยได้โอกาสย้อนกลับไปที่ตลาดมุสลิม ซื้อของมาอีก ได้ผ้าพันคอมา 4 ผีน Foil & Finn ก็ได้ของเพิ่ม เดินไปเดินมาชักมืดเลยกลับโรงแรมซึ่งทีม B กลับมาแล้วนั่งรออยู่ที่ lobby และกำลังติดต่อโต๊ะทัวร์ที่ตั้งอยู่ที่โรงแรม แล้วเค้าก็หาตั๋วเข้าชมการแสดงราชวงศ์ถังให้เราได้โดยที่เราไม่ต้องกินอาหารในขณะดูโชว์ และราคาถูกกว่าซื้อเองนิดหน่อย แล้วเค้าจัดรถรับส่งเราด้วย กำหนดรถออกจากโรงแรม 19:10 ระหว่างนี้ก็ออกไปหาอาหารเย็นกิน ทีแรกนึกว่าจะได้กินอะไรดีดีแต่เนื่องจากเวลาน้อยก็ต้องหาอะไรแถวโรงแรมกินแทน ทีม B แวะเข้าร้านบะหมี่ ส่วนทีม A เบื่อบะหมี่ยังไม่หายกะว่าจะไปหาขาหมูหมั่นโถวฝั่งตรงข้ามกิน แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ สงสัยเค้าไม่ขายตอนกลางคืน จะเข้าร้านอื่นก็พูดไม่เป็นเลยต้องยอมลดศักดิ์ศรีตามทีม B ไปกินบะหมี่จนได้

ตอนเข้าร้านไปพวกเค้าก็ยังไม่ได้กิน มาม้ากำลังสั่งอยู่ เค้าจะมีน้ำราดหลายๆ ชนิดให้เลือก แล้วก็จะลวกบะหมี่มาราดน้ำอีกทีหนึ่ง คนนั้นจะเอาแบบนี้ คนนี้จะเอาแบบนั้น คนขายก็สับสนไปหมด มาม้าก็พยายามอธิบายกับเค้า แต่ดูเหมือนเค้าจะยิ่งไม่เข้าใจ เวลารถจะออกจากโรงแรมใกล้เข้ามาทุกที ต้นเห็นว่าบะหมี่ยังไม่ได้เลยมีการบ่นมาม้าหาว่าเพราะคุยกับคนขายเค้าเลยทำไม่เสร็จซักที (งานนี้ต้นงานเข้าแน่)  กินเสร็จรีบวิ่งกลับไปโรงแรมเข้าห้องน้ำแล้วขึ้นรถไปชมการแสดง

เรารู้สึกว่าทางโต๊ะทัวร์กับสถานที่จัดแสดงน่าจะมีนอกมีในอีกเช่นกัน เพราะเราจ่ายเงินค่าตั๋วเราได้ใบเสร็จมาแต่เราไม่ได้ตั๋วแล้วคนที่พาเรามาก็ให้เจ้าหน้าที่ที่ดูแลรับผู้ชมพาเราไปนั่งที่โต๊ะว่างๆ แต่ไม่ได้ให้ตั๋วเรา

สถานที่แสดงก็ตามที่เห็นในรูปด้านล่าง รูปต่อไปเป็น brochure และรูปการแสดง แต่เนื่องจากนั่งไกลมากภาพเลยออกมาอย่างที่เห็น








พอเสร็จจากดูโชว์นั่งรถกลับโรงแรม มาม้าก็เริ่มเปิดฉากสอนต้น พอถึงโรงแรมพวกเราทีม A รวมทั้ง Fur เลยขอตัวแยกไปนั่งผ่อนคลายดื่มเครื่องดื่มร้อนที่ร้านกาแฟใกล้ๆโรงแรม เปิดโอกาสให้แม่ลูกคุยกัน สักพักใหญ่เราก็กลับ เก็บกระเป๋าให้เกือบพร้อมสำหรับการเดินทางกลับประเทศไทย

ก่อนนอนมีการเก็บรูปสถานที่ข้างๆโรงแรมเพื่อระลึกถึงคืนสุดท้ายที่ซีอาน


ตึกนี้ดูคล้ายๆ Bell Tower แต่ไม่ใช่ เป็นตึกใกล้ๆโรงแรม





Wednesday, December 19, 2012

ซีอาน 33 จุดเริ่มต้นเส้นทางสายไหม

14:57 ออกจากตลาดมุสลิมเพื่่อมุ่งหน้าไปยังจุดเริ่มต้นเส้นทางสายไหม ขณะที่เราบันทึกข้อความอยู่นี้มาม้ากับต้นกำลังสอบถามเส้นทางอยู่ ลุงเป็นเจ้าของซุ้มขายหนังสือพิมพ์และของเบ็ตเล็ตพวกยาอมและของขบเคี้ยวและน้ำดื่ม




ตึกเก่าๆน่าจะรอการรื้อถอน
แล้วเราก็ขึ้นรถบัสสาย 103 เพื่อที่จะไปลงจุดเริ่มต้นเส้นทางสายไหม พอจะขึ้นรถบัสก็จะมี dialogue เดิมๆ สำหรับ Bus Mode นั่นคือ


ภาพข้างบนเป็นภาพจากเน็ตอาจไม่ใช่สาย 103

ในที่สุดพวกเราก็มาถึงจุดเริ่มต้นของเส้นทางสายไหม เส้นทางสายไหมคืออะไร ขอคัดลอกข้อความจาก http://th.wikipedia.org

เส้นทางสายไหม (Silk Road) เส้นทางสายไหมเป็มเส้นทางการค้าโบราณซึ่งเริ่มมีมายาวนานถึงสองร้อยกว่าปีก่อนคริสตกาลในยุคของราชวงศ์ฮั่นของประเทศจีน โดยเริ่มต้นจากเมืองฉางอันหรือซีอานในประเทศจีน ผ่านไปยังฝั่งตะวันตกของประเทศจีน เข้าสู่ประเทศอัฟกานิสถานและประเทศอิหร่านเข้าสู่ประเทศในแถบเอเชียกลางและยุโรป ซึ่งสิ้นสุดที่ประเทศแถบชายฝั่งทะเลเมดิเตอเรเนียนในทวีปยุโรป

เดินเข้าประตูมาจะพบกับ


ข้างในบริเวณจะมีรูปปั้นแสดงถึงกองคาราวานซึ่งใช้เส้นทางสายไหมเป็นเส้นทางคมนาคมค้าขายที่เชื่อมประสานจากโลกตะวันออกเข้าไปสู่โลกตะวันตกเข้าด้วยกัน ในยุคที่การเดินเรือสินค้ายังไม่พัฒนา โดยใช้เป็นเส้นทางขนส่ง แลกเปลี่ยนสินค้า ชา กระดาษ ผ้าไหม ย้ายถิ่นฐานจากจีน พวกทูต นักแสดง ไปสู่ทิศตะวันตก ส่วนใหญ่จะใช้ “เรือบก” อูฐเป็นพาหนะในการบรรทุกขนสัมภาระและสินค้า ส่วนม้าเป็นพาหนะด้านรองด้วยขบวนกองคาราวาน  โดยผ่านเอเชียกลางและข้ามไปสู่ตะวันออกของยุโรป




                                                
  

 

 
จุดเริ่มต้นของเส้นทางสายไหมอยู่ที่นี่เอง



ซีอาน 32 ตลาดมุสลิม

เสร็จจาก McDonald เราก็เดินไปเรื่อยเพื่อที่จะค้นพบว่า Drum Tower ปิดปรับปรุง แล้ว Drum Tower ก็อยู่ใกล้กับ Bell Tower ที่เราผ่านบ่อยมากในที่สุดเราก็ไม่ได้เข้าไปชมทั้งสอง Tower

ถึงเวลาเยี่ยมชมตลาดมุสลิมซึ่งเรารู้มาว่าเป็นหนึ่งในชุมชนโบราณที่ยังคงรักษาเอกลักษณ์ของชาวหุยได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอกลักษณ์ของอาหารการกินที่ผสมผสานอาหารในแบบอารบิกเข้ากับอาหารจีนได้อย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นขนมปังนานสอดไส้เนื้อผัดเครื่องเทศ เกี๊ยวซ่าที่มีรสชาติเผ็ดร้อน หรือจะเป็นเนื้อปิ้งย่างที่คล้ายกับเคบับ ดังนั้นจุดเด่นของถนนแห่งนี้คือการสัมผัสกับวัฒนธรรมอาหารการกินของชาวหุยที่มีชื่อเสียง

นอกจากอาหารยังมีของขายสารพัดอย่างไม่ว่าจะเป็นร้านขายของที่ระลึก ร้านขายผลไม้แห้งจำพวกอินทผาลัม ลูกพลับ กีวี่ มะเขือเทศ ลูกสน รวมทั้งวอลนัทและถั่วต่างๆ เราเดินสำรวจตลาดและเปรียบเทียบราคาไปเรื่อย ผ่านร้านขายของกินซึ่งมีร้านอยู่มากมายหลายร้าน เห็นแล้วลูกๆก็อยากชิมโน่นชิมนี่ตลอด

ถนนมุสลิม


บรรยากาศในตลาดมุสลิมมีผู้คนเดินเลือกซื้อของฝากและของกิน

                 


กระทะนี้หน้าตาคล้ายขนมผักกาดผัดบ้านเราแต่เนื้อแป้งหยุยหยุยรสชาด จืดๆ (ไม่ผ่านค่ะ)
มาม้า(คนขวา) ถ่ายกับมือตะหลิวกระทะบน

ตอนนี้ซื้อซาลาเปาทอด อันละ 2 หยวน (ไม่น่าผ่านนะ)
 
มันมีเนื้อสดหลายขนาดนะ มันเนื้ออะไรบ้าง (ครุ่นคิด)
สงสัยเนื้อแพะแกะ

 





ซีอาน 31 ไคฟง - เจิ้นโจว - ซีอาน

ในที่สุดเราก็มานั่งอยู่บนรถไฟโบกี้ที่ 18 เก็บของเรียบร้อย ทุกคนอ่อนแรงกันมากอยากจะหลับหนีความจริง แต่จะหลับตาลงไปได้อย่างไร รถไฟขบวนนี้ไม่ใช่แบบหัวจรวดเป็นแบบธรรมดา แถวหนึ่งนั่ง 3 คนแล้วหันหน้าเข้าหากันที่นี้ตรงข้ามเราเป็นสาวจีนอายุประมาณ 21 ปี คุยกันใหญ่กับมาม้า ไถ่กั๋ว ไถ่ถั๋ว อีกแล้ว สาวจีนก็ถามโน่นถามนี่ตลอดเวลาเท่านั้นไม่พอพวกที่นั่งหลังชนกับเราก็ลุกขึ้นยืนแล้วคุยกับพวกที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับเรา เกี่ยวกับพวกเราคนไทยนั่นแหละ แล้วก็ขอแลกธนบัตรอีก มาม้าก็คุยกับเค้าเกี่ยวกับตั๋วรถที่จะซื้้อกลับไปซีอานว่ามีเวลาอะไรบ้างก็สื่อสารกันไปตลอดทาง สรุปแล้วเราไม่ได้หลับ

พอถึงเจิ้นโจว ต้น Fur มาม้าก็ไปเข้าแถวซื้อตั๋ว รออยู่เป็นชาติมาม้าก็เดินออกมาบอกว่ากลับไม่ได้เพราะรถไฟเต็มหมด ไม่มีที่นั่ง เราก็ถามต้นว่า แล้วซื้อเที่ยวตอนเช้าไว้แล้วหรือยัง อ้าวยังไม่ได้ซื้อ ต้นว่าไม่ได้เตรียมแผนสองไว้เลยคิดไม่ทัน สรุปกลับไปเริ่มต้นเข้าแถวใหม่

ตอนนี้ก็ต้องคิดแล้วว่าคืนนี้จะนอนไหน (ค่ำไหนนอนนั่น) เห็นข้างสถานีรถไฟมีโรงแรมชื่่อ Greenland ต้นกับมาม้า และ Fur ก็เดินไปสอบถาม ระหว่างที่พวกเค้าไปสอบถามเรื่องโรงแรม  เราทีม A แวะไปรอที่ร้าน McDonald เพื่อสั่งอาหาร fast food กินตอนเย็น แต่ดูๆแล้ว counter ชั้นล่างไม่มีพนักงานขาย ตอนแรกพวกเราคิดว่าของคงหมด แต่ไม่เป็นไรนั่งมันอยู่อย่างนั้นแหละ พักเหนื่อยแล้วก็เฝ้าของให้ทั้ง 2 ทีม แต่ในร้านก็มีลูกค้าอื่นนั่งกันอยู่เยอะคุยกันเสียงดังมากเหมือนทะเลาะกันแต่ไม่ใช่ แล้วก็ยังมีลูกค้าเดินขึ้นชั้นบนอีก Finn ขึ้นไปดูเลยรู้ว่าเค้ามี counter สั่งของชั้น 2 เย็นนั้นพวกเรากิน burger เป็นอาหารเย็น อร่อยที่สุดตั้งแต่มาถึงซีอาน

ทีม B กลับมารายงานว่า Greenland Hotel ไม่รับนักท่องเที่ยวต่างชาติเพราะไม่ถึง 3 ดาวกลัวเสียชื่อ เลยต้องไปหาโรงแรมอื่น ในที่สุดก็ได้โรงแรมซึ่งจำชื่อไม่ได้แล้ว  ห้องคู่พักได้แค่ห้องละ 2 คน จอง 3 ห้อง ทีนี้ก็ต้องตกลงกันว่าใครจะนอนกับใคร ในที่สุด Foil นอนกับ Finn  มาม้านอนกับต้น และ เรานอนกับ Fur  ด้วยเหตุผลที่ว่าเราไม่ค่อยได้นอนกับ Fur เพราะเค้าแต่งงานแล้ว เราอยากคุยกับลูก

หลับไปได้ในที่สุดเพื่อตื่นมาขึ้นรถไฟหัวจรวดกลับ ซีอาน Citadines อันแสนอบอุ่นของเรา

เช้าวันที่ 24/11/2012 ตื่นมาโดยไม่ต้องเร่งรีบเพราะจองตั๋วไว้แล้ว กินอาหารเช้าแบบเดิมอาหารจำเจ แล้วค่อยๆ ออกเดินไปที่สถานีรถไฟเพราะโรงแรมอยู่ใกล้สถานี แต่ก็ยังต้องวิ่งนิดหน่อย เพราะได้ โบกี้ที่ 8 ของรถไฟหัวจรวดเลขที่ G2001 เลยต้องรีบเพราะรถจอดแค่ 2 นาทีเท่านั้น 7:48 นั่งอยู่บนรถหัวจรวด ถึงซีอานเวลาประมาณ 10:30 ระหว่างทางได้นอนพักมากหน่อยเพราะมาม้าต้องแยกไปนั่งเพื่อให้ต้น Fur นั่งด้วยกันทำให้ไม่มีใครรู้ว่าเราไม่ใช่คนจีน แล้วจะอยากมาถามว่าเราเป็นคนชาติอะไร มาม้าคงเหงาเหมือนกันนะ

ถึงซีอานต่อ subway ไปลงที่ Bell Tower เพื่อเดินกลับไปที่ Citadines ตลอดเส้นทางลั่วหยาง - ไคฟง - เจิ้งโจง - ซีอาน เป้อยู่่บนหลังตลอดยกเว้นตอนเข้าพักที่โรงแรมที่เจิ้งโจวและตอนอยู่บนรถไฟหัวจรวด  ถึง Citadines ได้ห้องพักเลขที่ 902 ทีม B ห้อง 903

 ภาพจาก internet

เก็บข้าวของเตรียมออกไปหาอะไรกิน เวลาตอนนั้น 12:12 น อาหารกลางวันวันนี้ McDonald อีกครั้งหนึ่ง ร้านนี้น่านั่งมี Mc Cafed ด้วย นอกจาก burger แล้วเราก็สั่ง Latte แล้วมีขนมเค้กด้วย


ร้าน McDonald ที่ซีอาน ถ่ายไว้ตอนกลางคืนของวันเดียวกันนี้







Tuesday, December 18, 2012

ซีอาน 30 ไคฟงสู่สถานีรถกลับเจิ้นโจว

ก่อนออกจากศาลไคฟงประมาณเวลา 16.55 น. พวกเราทุกคนก็ "เซี่ยเซี่ย" ไกด์เป็นการใหญ่ มาม้าก็พยายามจะทิปเงินเค้าแต่เค้าไม่ยอมรับ เห็นมาม้าว่าใส่ในเสื้อให้เค้า เค้าก็เอาคืน มาม้าว่าเค้าดีจริงๆ แต่ต้นบอกที่หลังว่าในที่สุดมาม้าก็ยัดเยียดให้เค้าจนเค้ารับ จริงเท็จยังไงไม่รู้ยังไม่ได้ถามมาม้า

แท๊กซีที่นำเราไปส่งก็รออยู่เพื่อรับเรากลับ เราเองก็สงสัยเหมือนกันว่าที่เค้ารอเราอยู่ตั้งนานเค้าไม่ว่าอะไรหรือ ระหว่างทางที่นั่งกลับไปมาม้าก็คุยกับคนขับแท๊กซี่ใหญ่เลยว่า คนเมืองนี้ดีจริงๆซื้อสัตย์สมกับเป็นเมืองของท่านเปา  จนเมื่อกลับมาถึงสถานีรถไฟจ่ายเงินค่าแท๊กซี่ ปรากฏว่าราคาค่าโดยสารทั้งหมดคือ 120 หยวน สำหรับค่ารถไปกลับ 2 คันๆละ 50 หยวนบวกค่ารออีกคันละ 10 หยวน งานเข้าละ ทำไมมันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ จะเกิดความผิดพลาดทางการสื่อสารหรือถูกโกงกันแน่ก็ไม่รู้ ปล่อยให้ต้นและมาม้า clear ไปแล้วกัน  ในที่สุดก็ต้องให้เค้าไป 100 หยวน

ต้นสั่งให้ทีม A รวมทั้ง Fur ให้ออกไปอยู่ห่างๆ เพื่อให้เค้า clear กัน Fur ก็เข้าใจว่าต้นไม่ต้องการให้เราอยู่ใกล้เผื่อเกิดปัญหาอะไรจะได้ไม่ต้องห่วงพวกเรา (แต่จริงๆมารู้ทีหลังว่านั่นไม่ใช่เหตุผลของต้น) พวกเราก็ออกมาอยู่ห่างๆ ยืนรอไปเรื่อยๆ Foil หิวเลยซื้ออาหารจากรถเข็นแถวนั้นแหละ คุยกันไปมาฆ่าเวลาว่า แล้วที่นี้ยังไงเนี่ยไอ้ที่ชมเค้าไปแล้วเอาคืนได้หรือเปล่า อาจเป็นเพราะมีคนเป็นแบบนี้ทำให้จำเป็นต้องมีท่านเปาก็ได้  แล้วเราจะเรียกคนขับแท๊กซีว่าอะไรดี อ้อที่นี่มีเครื่องประหารหลายหัวนะ เรียก "อาหัว" แล้วกัน  คนขับรถสามเมือง มี อาหลิว (ชื่อจริง) อาเต๋อ (นามสมมุติ) อาหัว (นามสมมุติอันเนื่องมาจากเครื่องประหาร) สามคนรวมกันเป็น "หลิวเต๋อหัว" ไม่ยักหล่อเท่ดีเหมือนพี่หลิวในหนังจีนของพวกเรา

ต้นกับมาม้าใช้เวลานานมาก ในที่สุดก็กลับมา แล้วถามพวกเราว่ามายืนรออะไรกัน ทำไมไม่ไปเข้าแถวรอซื้อตั๋วรถไฟ Fur ก็ว่าจะไปรู้ได้ยังไง ก็เป็นห่วงต้นเลยยืนรออยู่ แล้วก็คิดว่าต้นต้องการให้อยู่ห่างๆ (Fur โกรธแล้วที่ต้นโวยวาย) หลังจากนี้ต้น มาม้า และ Fur ก็ไปยืนเข้าแถวรอซื้อตั๋ว (ที่ต้องไปยืนกันหลายคนก็เพื่อแบ่งแถวกันยืน แถวใครถึงก่อนก็แถวนั้นแหละที่มาม้าจะเข้าไปเจรจาซื้อตั๋ว) คนเยอะมากรอนานมากๆจนมืด พวกเราทีม A ระหว่างยืนรอซึ่งเป็นด้านนอกของสถานนีเพราะไม่มีที่เข้าไปยืนข้างใน ก็ต้องผจญกับความหนาวและความเมื่อย ทำอะไรดีล่ะ ทีนี้วิญญานศิลปินเริ่มสิง เริ่มเต้นไปมาเพิ่มความอบอุ่นด้วยเพลง

                                               (ขอบคุณ three blind mice animation from internet)
จนกระทั่ง Fur ออกมาบอกว่าซื้อตั๋วได้แล้วให้รีบเข้าไปเลยรถจะออกในไม่กี่นาที พวกเราก็รีบวิ่งเข้าไปแล้วก็ลมแทบใส่

 ภาพสถานนีรถไฟจาก internet
ขณะบันทึกเสียงนั่งอยู่บนรถไฟแล้ว

จะวิ่งไปไหนได้คนเป็นหนอน แล้วก็เหมือนหัวลำโพงบ้านเราแต่มันแน่นมากแล้วไม่เข้าใจว่าทำไมไม่เปิดประตูให้คนเข้าไปยืนรอที่ชานชาลา อาจเป็นเพราะว่ายังกำหนดไม่ได้ว่าชานชาลาเลขที่เท่าไหร่ แล้วไอ้ที่ว่าไม่กี่นาทีรถจะออกน่ะจริงๆแล้วมันกี่นาที เพราะตามกำหนดเวลามันอีก 2 นาทีเท่านั้น ตอนหลังมาม้ามาบอกว่าทางช่องขายตั๋วหรือป้ายประกาศหน้าจอวิ่ง บอกว่ารถจะช้าหน่อยแต่นานเท่าไรไม่รู้แล้วก็ไม่รู้สาเหตุด้วย เราก็รู้สึกค่อยยังชั่วนะที่ยังพอมีเวลา แต่ถ้ามันนานเกินไปเราต้องแย่แน่ๆ เพราะของที่แต่ละคนแบกอยู่รวมทั้งจำนวนคนมหาศาล ทำให้แทบไม่มีอากาศหายใจ รวมทั้งคนที่ชอบขากถุย โอ๊ยจะเป็นลมให้ได้ น่าจะรอนานเป็นชั่วโมงนะ พอเค้าบอกหมายเลขชานชาลาแล้วปล่อยให้เข้าไป ใครที่รอรถขบวนนี้อยู่ก็กรูกันเข้าไป เพราะรถไฟใช้เวลาจอดไม่นานทุกคนต้องรีบต้องใส่เกียร์หมากันทุกคน เราก็เช่นกันเบียดเข้าไปจนได้แต่แล้วก็รู้สึกมีใครมาดึงกระเป๋าไว้แล้วมีเสียงดังข้างหลังว่า "แอ๊ะ แอ๊ะ แอ๊ะ" หันไปดูกลายเป็น Foil ดึงไว้ เราถามว่า แอ๊ะอะไร เค้าว่าตั๋วยังไม่ได้รับการเจาะรูจากเจ้าหน้าที่ อ้าวแล้วทำไมไม่พูดมัวแต่แอ๊ะอยู่ได้ Foil ว่านึกไม่ออกว่าจะพูดอะไร ความสามารถในการสื่อสารหายหมดไม่ว่าจะภาษาอะไร พอผ่านเข้าไปได้ถึงชานชาลา 2 รถไฟมาถึงเราได้โบกี้ที่ 18 ก่อนโบกี้สุดท้ายที่นี้เรายืนรออยู่กลางๆขบวน ก็ต้องวิ่งซิ วิ่งกันทั้ง 6 คนเกือบไม่ทัน เราก็ห่วงคนโน้นห่วงคนนี้แถมต้องหลีกผู้โดยสารอื่นอีกเลยทำให้รั้งเป็นคนสุดท้ายของทีม ทุกคนก็ตะโกนเรียกกันใหญ่ งานนี้นอกจากเท้าแล้วเสียงนั่นแหละที่ใช้เยอะเป็นพิเศษ รวมทั้งหลังที่แบกของอยู่ แต่พวกเราวิ่งกันตัวปลิวเหมือนไม่ได้แบกอะไรไว้เลย ในที่สุดเราก็ขึ้นมานั่งรออยู่บนรถไฟเพื่อมุ่งหน้าไปยังเมืองเจิ้งโจว แต่ยัง ยังไม่หมด เรายังต้องวิ่งต่อไปอีกเพื่อขึ้นรถไฟหัวจรวดกลับไปยังซีอาน


Train animation from internet

ดู clip แล้วอาจคิดว่าเราตกรถไฟ ความจริงแล้วเราได้ขึ้นรถไฟขบวนนี้ค่ะแต่ทุลักทุเลมาก
(แล้วโปรดสังเกต View Site Stats ด้านล่าง blog นะคะมีด้วยกัน 6 คนเท่ากับทีม A + ทีม B)















ซีอาน 29 - เมืองไคฟง เมืองของท่านเปาบุ้นจิ้น

ถึงเมืองไคฟงเวลา 15.54 น.
ขณะนี้กำลังมองหารถที่จะพาเราไปยังศาลท่านเปา แปลกจังที่นี่ไม่มีผู้หวังดีแต่ประสงค์ร้ายเข้ามาประชิดตัวเลย ต้องเดินหากว่าจะเจอแท๊กซี ต่อลองราคากันระหว่างทีม B กับคนขับรถ ตอนแรกมันว่า คนละ 5 หยวนไปกลับ 6 คนก็รวม 60 หยวนต่อรถ 2 คัน มาม้ายังต่อมันว่า 65 หยวนได้ไหม ต่อว่าอ้าวมาม้าเค้าเรียกมา 60 แทนที่จะต่อให้เหลือ 50 ดันไปบอกมันว่า 65 ต้นเลยกำชับมาม้าให้พูดกับเค้าให้รู้เรื่องว่าราคา 50 หยวนหมายถึง ไปกลับต่อ 2 คันนะ มาม้าก็ยืนยันว่าพูดกันรู้เรื่องแล้วตามนั้นแหละ

แล้วเราก็นั่งรถไปยังศาลไคฟงด้วยความสบายใจว่าคนเมืองนี้ดีนะเรียกราคาไม่เวอร์และไม่มารุมมาตุ้มเรา ถึงศาลไคฟง จ่ายเงินค่าตั๋วเข้า เจอไกด์สาวน่าตาน่ารักสูงหุ่นดี ขอมานำเราเค้าบอกว่าไม่เรียกค่าไกด์เพิ่มเพราะได้จากสถานที่แล้วคนละ 2 หยวน พวกเรา 6 คนรวมเป็น 12 หยวน เราเห็นว่าเราไม่ต้องจ่ายเพิ่มก็เลยโอเค ซึ่งก็ดีนะเนื่องจากเค้ารู้ว่าควรพาเราเริ่มจากจุดไหนก่อนแล้วมีคำอธิบายให้เรารู้ถึงความเป็นมาทำให้ไม่ต้องมะงุมมะงาหราเอาเอง

ก่อนเข้าศาล     
                 




หินที่เห็นคือหยก ซึ่งเป็นสิ่งเดียวที่อยู่ในสมัยท่านเปาจริงๆ

ถ่ายรูปกับท่านเปาบุ้นจิ้น


เครื่องประหารทั้ง  3 แบบ งานนี้ไม่ใครก็ใครละนะ ที่จะโดน แต่คงไม่ใช่แม่แน่นอน
                                                                        

ด้านล่างเป็นหุ้นขี้ผึ้งแสดงการไต่สวนของท่านเปา


                        จำลองการไต่สวน
 



ถ่ายกับท่านเปา



ถ่ายจากภายในบริเวณศาลไคฟง


                                           การแสดงภายในศาลไคฟง มีท่านเปากับคณะนั่งชมอยู่


ด้านนอกก่อนกลับ ไกด์ถ่ายให้
โปรดสังเกตุนะทุกคนมีเป้แบกอยู่ตลอดการเดินชมศาลไคฟง

เรื่องเล่าโดยมาม้าต้นเกี่ยวกับท่านเปาบุ้นจิ้น รูปถ่ายๆที่วัดเส้าหลิน ขณะบันทึกเสียงอยู่ที่จุดเริ่มต้นเส้นทางสายไหม